สำหรับการที่สามารถเข้าใจธุรกิจอย่างถ่องแท้ ของ Business Foundation โดย มี 3 แบบ การออกไอเดียในธุรกิจที่แปลกใหม่ การบริหารธุรกิจให้อยู่รอดจนถึงปัจจุบัน และการขายสินค้าที่มีอยู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นการเข้าใจแนวทางขั้นพื้นฐานสำหรับทุกธุรกิจจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
Business Foundation 101
- Business Foundation
- The Core Models
- Model 1 : Million Dollar Weekend
- How to validate Idea? (Pre-Selling)
- Scarce Resource
- Marketing Funnel
- How to increase the Conversion Rate?
- Model 2 : Small Business Flight Plan
- Model 3 : The Brain Audit
- The Key Message
Business Foundation
สำหรับการเข้าใจธุรกิจอย่างถ่องแท้จำเป็นที่ต้องรู้ Learning Model จากบทความ https://chayanonboo.com/2025/04/07/5-methods-of-learning-model-101/ เพื่อที่มีจะ Requirement ในการเรียนรู้พื้นฐานของการสร้างธุรกิจ
“There is no skilled “Business”

- ธุรกิจของจริงในการทำงานจริงเกี่ยวกับ 8 Skills นี้ดังรูป ด้านบน
- การที่สามารถรันธุรกิจได้ดี ต้องมี Back End
เป็นแผนกIT จะช่วยได้เยอะ - ถ้าเปิดร้านขายของ ข้างหน้าร้านต้องมี Point of Sale จุดที่จะชำระเงิน
- ถ้าสร้าง Digital Product ควรมี Website
ถ้าอยากจะทำ One Person Business ควรสามารถรวมหลายสกิลเพื่อธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน
The Core Models

3 Model นี้จะช่วยเปิดทางการทำ Business ให้กับทุกๆคนได้
| Creator | Method |
| Noah Kagan | use for create business |
| Donald Miller | use for business administration |
| Sean D’Souza | sell product better than before |
- การที่จะเริ่มทำ Business อะไร ก็ควร Update องค์ความรู้ให้ทันต่อยุคสมัยด้วย
- เช่น สิ่งที่คนอื่นเคยมาสอนทุกคนว่าเคยทำอะไรมาบ้าง แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่สิ่งที่ทำในอดีตไม่การันตีว่าทำในปัจจุบันแล้วจะ Work ในอนาคต
| 10 Years Ago | Now |
| No AI | AI |
| Blackberry ที่หลายปุ่ม | Iphone ที่มีปุ่มกดบนหน้าจอน้อยมาก |
Model 1 : Million Dollar Weekend

ข้อวคามสำคัญจากหนังสือ Million Dollar Weekend
- สำหรับ Highlight สำหรับหนังสือเล่มนี้ที่ Noah Kagan เคยบอกไว้ว่า “วันเสาร์ – อาทิตย์ที่เป็นเวลาว่างคนเราสามารถเงิน 1 ล้านได้เลย”
- เสาร์-อาทิตย์ มี 52 สัปดาห์
ถ้าสามารถคิดไอเดียที่ดีจาก 52 สัปดาห์ไปทำประโยชน์ได้ จะมีโอกาสสร้างธุรกิจล้านเหรียญมาแล้ว ประมาณ 8 ธุรกิจสำเร็จมาแล้วของ Noah Kagan
Framework ของหนังสือ Million Dollar Weekend มีอยู่ 3 Steps

Find a Problem
ส่วนใหญ่หลาย Business ต้องเริ่มมาจากการรู้จักปัญหาเราอยากจะแก้ให้เจอ
- แล้วหลังจากนั้นก็ไปเรียนรู้ Skill ต่างๆเพื่อที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้น
- โดยที่ปัญหานั้นต้องใหญ่พอแล้วมีคนที่มีปัญหาเหล่านั้นเยอะพอ แล้วมีคนที่ยังหาทางแก้ปัญหานั้นไม่เจอ
Create a Solution
- นำปัญหาที่คนเหล่านั้นเจอ มาวิเคราะห์แล้วหา
ทางที่ช่วยแก้ปัญหาให้คนเหล่านั้นให้ได้ - ไม่ควรเป็นปัญหาที่มีคนเคยแก้ปัญหาเหล่านั้นได้มาก่อน
Spend $0 validate your ideas
- การไม่ใช้เงินในการสร้างธุรกิจถือเป็นการทดสอบ Ideas ว่า Problem กับ Solution ที่เราคิดออกมามันดีและเหมาะสมมั้ย
- ถ้า Problem กับ Solution เหล่านั้นดีต่อลูกค้าแล้วลูกค้าสนใจให้เงินกับสินค้าหรือบริการ คือ Pre-selling
Case 1 : What You Create vs What Customers Want

| Circle | Definition |
| Blue | สินค้าหรือบริการที่เราผลิตขึ้นมา |
| White | สิ่งที่ลูกค้าอยากได้ |
picture 1 : Two Non-Overlapping Circles
โดยรูปซ้ายสุดจากรูป What You Create vs What Customers Want ที่คนหลายคนเจอ คือ เราสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการบางอย่างแล้วไม่มีคนอยากได้
สิ่งที่ไม่ควรทำ
- การซื้อโฆษณา facebook เยอะมาก เพื่อที่หาคนที่อยากซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการเรา ซึ่งบางทีคนหาที่อยากซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการไม่ได้
- ค่า Ad facebook เราก็แพง เพราะ facebook บอกว่า หาคนที่อยากซื้อของไม่เจอเหมือนกัน ไม่มีใคร Engagement กับโฆษณาที่เรายิงไป
picture 2 : Two Little Intersect Circles
- โดยรูปกลางจากรูป What You Create vs What Customers Want เริ่มมีการ overlap กัน มีลูกค้าอยากได้สินค้า แต่ไม่เยอะพอที่จะทำให้เราอยู่รอดในธุรกิจนั้นๆ
picture 3 : Overlapping Circles
- สินค้าหรือบริการที่สร้างขึ้นมาตอนนี้มีคนรออยากได้เยอะมากจนสามารถสร้างธุรกิจให้เราได้
- ต้องให้สินค้าหรือบริการที่สร้างขึ้นมาแล้วตอบโจทย์กับที่เราอยากผลิตและลูกค้าอยากได้จะต้อง Overlap กัน
Case 2 : Iphone

| Type | Quantity |
| Your Offer (Price) | 300 |
| Customers | 1,000 |
| Potential Revenue | 300,000 |
เราจะรู้ได้ไงว่า คนทั้ง 1,000 คนจะซื้อของเราจริงๆ ต้องทำการ pre-selling ถึงจะรู้
How to validate Idea? (Pre-Selling)

วิธีการที่เราจะสร้าง Idea ที่ถูกต้องให้เรา คือ การขอให้คนจ่ายเงินให้เรา
- เช่น เรามีหนังสือเล่มใหม่ แต่ข้างในยังไม่มีเนื้อหา แล้วสร้างหนังสือจำลอง หนังสือเล่มนี้จะสอน mental model ทุกคน
- สร้างหนังสือจำลอง Pre-selling เล่มละ 300 บาท ได้ 100 คนโดยขายราคาถูกกว่า แล้วหลังจากเขียนหนังสือออกมาขายอีกทีก็เพิ่มเป็น 400 บาท
- เมื่อได้เงินแล้ว จะบังคับให้เราเขียนและออกหนังสือเป็นเล่ม
Pre-Selling เป็นการสร้างความสนใจและความต้องการในสินค้าหรือบริการที่จะเปิดตัวในอนาคต
| People Want | Sample |
| High | เราก็อาจจะนำมาขายในครั้งต่อๆ ไป |
| Low | เปิดขายแค่รอบเดียว รอบต่อไปอาจจะไม่มีแล้ว |
Case : Pre-selling Surfboard

- สมมุติเราสร้าง Surfboard 3 เดือน ข้อดี โต้คลื่นได้ น้ำหนักเบา เท้าไม่ลอยน้ำ
- มี 100 Surfboard แล้วขายที่ชายหาดแล้วจะขาย Surfboard แล้วไม่มีลูกค้าที่รอเล่น Surfboard เลย ก็ขาย Surfboard ไม่ได้
| Ideas | Definition |
| Good | ถ้ามีคนเล่น Surfboard แสดงว่าไอเดียนี้ดี |
| Bad | หาก Surfboard ขายไม่ได้ ธุรกิจไปไม่รอด ก็ต้องล้มไอเดียนี้ แล้วหาไอเดียใหม่ๆ |
Scarce Resource

- Resource และ Community ที่ขาดแคลนที่สุดในช่วงนี้ คือ Attention
- หากอยากขายของได้จำเป็นต้องมี Attention จากคนก่อน เพราะถ้าไม่มีคนสนใจก็จะไม่มีคนซื้อ
- วิธีที่จะทำให้ลูกค้าสนใจเราคือ ต้องสร้าง Marketing Funnel
Marketing Funnel
Marketing Funnel คือ โมเดลที่แสดงถึงขั้นตอนการเดินทางของลูกค้าตั้งแต่เริ่มรับรู้แบรนด์ (Awareness) ไปจนถึงตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ (Consideration/Conversion)

| Marketing Funnel | Definition |
| Awareness | การทำให้ 100 คนในกลุ่มเป้าหมาย รับรู้ของแบรนด์ |
| Consideration | มี 40 คนเริ่ม พิจารณาแบรนด์หรือกำลังสนใจแบรนด์ |
| Conversion | มี 5 คนเริ่มโอนเงินเข้ามา เพราะอยากซื้อสินค้าแบรนด์ |
Awareness ต้องมี Content เพิ่งดึงดูดให้คนรู้จักเราด้วย
Calculation of Awareness , Consideration and Conversion

| Rate | Calculation |
| View Rate | 40/100 = 40% |
| Consideration for Conversion Rate | 5/40 = 12.5% |
| Conversion Rate | 5/100 = 5% |
Definition สำหรับอัตราส่วนของเกณฑ์ด้านบน
- View Rate คือ มีคนมาดูแบรนด์ 40%
- Consideration for Conversion Rate คือ จากคนที่ดู live ทั้งหมด 40 คนมีซื้อ 5 คน เราจึงได้คนซื้อเทียบคนดู live ได้ 12.5%
- Conversion Rate คือ 5% ใน 100 คนเห็นมีแค่ 5 คนที่ซื้อสินค้า = 5%
How to increase the Conversion Rate?

ถ้าเราอยากหาเงินได้มากขึ้นจากแบรนด์ เราควรปรับจากส่วนไหนของ Marketing Funnel
- เราทำให้คน Attention ต่อแบรนด์ได้มากขึ้น ก็จะเพิ่ม Awareness ต่อแบรนด์เราได้ดีขึ้น
- Consideration พิจารณาแล้วว่าแบรนด์เราจะดีกว่าแบรนด์อื่นยังไง
- เพิ่ม Conversion โดยการเล่าเรื่องเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ หรือ ราคาสูงไปอาจจะต้องลดราคาสินค้าหรือเปล่า
- Awareness สามารถปรับได้ง่ายที่สุด
Content หรือ Communication เป็น First principle ในการสร้างธุรกิจเพราะถ้าทุกคนให้คนสนใจแบรนด์ไม่ได้ก็ไม่มีใครรู้จักสินค้าของแบรนด์เหล่านั้น
Model 2 : Small Business Flight Plan

Small Business Flight Plan ในการทำธุรกิจแบบนี้ต้องเข้าใจว่าแต่ละระบบทำงานร่วมกันยังไง
- โดยบอกว่า ธุรกิจสามารถทำงานเหมือนเครื่องบินเลย
Business Operates

เปรียบเหมือนกับการนั่งเครื่องบิน เป้าหมายของเครื่องบินหลัก คือ นั่งเครื่องบินโดยไม่ตก
เช่นเดียวกัน โดยทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จโดยจำเป็นมี 6 องค์ประกอบดังนี้
| Plane | Business |
| Captain | Leadership |
| Body | Overhead |
| Wings | Product / Service |
| Left Engine | Marketing |
| Right Engine | Sales |
| Fuel | Cash Flow |
Process of Airplane

- Leadership กำหนดจุดมุ่งหมายของทิศทางและธุรกิจว่าไปทางไหนบ้าง
- Overhead ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ ค่าใช้จ่ายในธุรกิจ
- Product/Service and Marketing and Sale ทำให้ธุรกิจสามารถมีแนวทางการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆได้
- Cash Flow คือเงินที่อยู่ในธุรกิจ เก็บเงินสดเอาไว้ ครบมีไว้สำหรับ 1-2 ปี
ไม่ว่าก็จะเป็นการขาย การทำ Product และออก Campaign ใหม่ๆ
- แต่ถ้าปัจจุบัน หากยังไม่มีเงินพอ ความรู้ที่เรามีจะช่วยให้ทุกคนหาเงินได้มากขึ้นในอนาคต
Model 3 : The Brain Audit

The Brain Audit เป็นการมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจกระบวนการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
โดย Sean D’Souza นำเสนอแนวคิดว่าลูกค้าจะ ซื้อ ก็ต่อเมื่อ กระเป๋า หรือปัจจัยสำคัญ 7 ประการในความคิดของพวกเขาได้รับการ ตรวจสอบ และ จัดการ อย่างเหมาะสม

- เช่นเดินทางจากเที่ยวบิน แล้วรอรับกระเป๋าทั้งหมด 7 ใบ ถ้ากระเป๋ามาไม่ครบก็ต้องรอจนกว่าจะได้กระเป๋าครบ
- Focus ที่ Marketing กับ Sales เลย ทำยังไงให้ลูกค้ามาซื้อของเรา
ถ้าอยากทำ Marketing ได้ดี แล้วมีลูกค้ามาซื้อของเราเยอะๆ ต้อง 7 องค์ประกอบนี้

Problem
ควรเริ่มต้นด้วยค้นหาปัญหา เพราะว่าสมองมนุษย์จะดึงดูดคำว่า ปัญหาก่อน เช่น ปัญหาผมหยิก
Solution
ตามมาด้วยวิธีการแก้ปัญหา เช่นควรมี Sunsilk ช่วย
Target profile
ต้องรู้ว่า เราสร้าง Solution ให้ กลุ่มเป้าหมายกลุ่มไหน ถึงจะเหมาะสมกับ Problem ที่มี ลูกค้า ถึงจะพอใจ
Objection
ต้องคิดมีปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้มีข้อโต้แย้งกับเรา เช่น ยาสระผมมีใส่สารเคมีแปลกๆ กับมาเราหรือไม่
- เช่น ตอบได้ว่ามาจากวัตถุดิบธรรมชาติ
Testimonials
- สามารถให้ลูกค้าทดลองใช้จริงว่า สินค้าเหล่านั้นดีมั้ย
- มีตัวอย่างว่าคนใช้แล้ว Work มั้ย สามารถตอบตัวอย่าง Objection ได้
- การให้ Testimonials (ลูกค้าทดลองใช้)ตอบจะดีกว่า เพราะเป็นตัวอย่างของผู้ใช้ โดยการหาลูกค้าจริงมาตอบจะได้ความน่าเชื่อถือสูงกว่า
Risk Reversal

- คนส่วนใหญ่จะไม่ชอบความจริง พยายามหาอะไรที่การันตีความแน่นอน
- จริงมีการการันตีโดยการให้ลองใช้ฟรีแบบ Free Trial
- เช่น Youtube ให้ลองใช้ Youtube Premium ฟรี 14 วัน แล้วถ้าดีค่อยให้ใช้ต่อ
Case 1 : Mini Bootcamp
- คอร์สเรียนฟรีแบบ Mini Bootcamp เพื่อลดความเสี่ยงให้นักเรียนได้ โดยการให้นักเรียนประเมินครูสอนในช่วงเวลาที่เรียนว่าครูคนนั้นสอนดีหรือไม่ดี
ข้อเสียคือถ้าอะไรได้มาฟรี คนก็ไม่ค่อยเห็น Value แล้วเรียนเช่น คอร์สเรียนนี้ มีคนติดตาม Facebook 100,000 คน แต่มีคนมาเรียนแค่ 1,000 คน
Case 2 : Ikea

- Ikea จะมีข้อมูลให้อ่านว่า อุปกรณ์ที่ขายเหล่านี้มีความเสี่ยงอะไรบ้าง สามารถใช้ได้นานกี่ปี และสามารถขนส่งได้หลากหลายแบบ เพื่อลดความเสี่ยงให้ลูกค้าซื้อ
- โดยสามารถจ่ายเงินเพิ่ม 7-10% เพื่อให้พนักงานไปต่ออุปกรณ์ให้ที่บ้าน
การที่แบรนด์ขายอุปกรณ์มีการประกันภัยความเสี่ยงด้านของให้ลูกค้า จึงทำให้ลูกค้ารุ้สึกมั่นใจใน Ikea
Uniqueness

Uniqueness คือสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา ไม่ใช่สิ่งที่เรามี
เราควรรู้ว่าเราแตกต่างกับคนอื่นๆยังไงบ้าง มีไอเดียที่ไม่เหมือนใครแล้วต้องสร้างไอเดียนี้ขึ้นมาเอง
Case : DataRockie
- แอดทอยไม่เคยพูดเก่งแบบนี้ ก่อนจะมีเพจ DataRockie เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แล้วก็ฝึกพูดเรื่อยๆ 10 ปีจนพูดได้คล่อง 2 ชม โดยไม่พัก
- 10 ปีที่แล้วไม่มีความแตกต่าง ปัจจุบัน สบายๆ ย่อยเนื้อหาเก่ง พูดได้เข้าใจง่าย
- การใส่หมวกจะเป็นจุดเด่น แม่แอดยศจำไม่ได้ว่าเป็นแอดทอยไปแต่งงานลูกตัวเองเพราะไม่ใส่หมวก
- ความแตกต่าง แบบมีความหมาย เช่น ถ้าแอดทอยใส่หมวก แล้วนักเรียน
ไม่ให้คุณค่าสิ่งเหล่านั้นก็ไร้ความหมาย
เช่น ถ้าใส่หมวกเหลืองแล้วพูดไม่รู้เรื่อง ความแตกต่างนี้ไม่มีความหมายเลย
| Principle | Action |
| First Principle | Teach Understand |
| Second Principle | Yellow Hat |
The Key Message

สิ่งที่สำคัญในการช่วยให้สามารถเรียนรู้แล้วเข้าใจธุรกิจได้ดีขึ้นมีดังนี้
- เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ แล้วเรียนรู้สิ่งที่คุณต้องการ เช่นอย่างเรียนรู้อุตสาหกรรมย่อยของธุรกิจ ก็ศึกษาความรู้ของธุรกิจนั้นเพิ่ม
- ไม่มีทักษะที่เรียกว่า “ธุรกิจ” เพราะหลายๆทักษะมาประกอบรวมกันเป็นธุรกิจ เช่น Strategy, Marketing, Sales, Finance, People, Operation, Promotion, IT/Tech
- อัปเดตแผนที่ของคุณอย่างต่อเนื่อง หรืออัปเดตเพื่อเพิ่มเส้นทางชีวิตในการตัดสินใจทำธุรกิจให้ดีขึ้นจากข้อมูลที่ดีขึ้น
- การสะสมทักษะคือเคล็ดลับในการสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ช่วยให้เชื่อมโยงข้อมูลได้ดีขึ้น
- แสวงหาแบบจำลองทางความคิดจากผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ โดยเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จมาก่อน
หากสนใจสามารถรับชมคลิปเพิ่มเติมได้ที่ Link นี้
หวังว่าจะได้ไอเดียดีๆในการนำหลักการ Business Foundation ทั้ง 10 ข้อ เพื่อศึกษาหาไอเดียที่มีประโยชน์เต่อการการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อปรับปรุงเรียนรู้ธุรกิจได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วมีแนวทางใหม่ๆในปรับรูปแบบธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น





























































































